ย่านางแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia strychnifolia Craib. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรย่านางแดง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า สยาน (ตาก, ลำปาง), เครือขยัน (ภาคเหนือ), หญ้านางแดง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ขยัน, เถาขยัน เป็นต้น
สรรพคุณของย่านางแดง
1. เถาย่านางแดงช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (เถา)
2. ช่วยบำรุงหัวใจ แก้โรคหัวใจบวม (เถา)
3. ช่วยดับพิษร้อนภายในร่างกาย (เถา)
4. แก้อาการท้องผูกไม่ถ่าย ด้วยการใช้ฝนกับน้ำหรือน้ำซาวข้าว หรือนำมาต้มกับน้ำดื่ม (เถา, ราก, ใบ)
5. รากหรือเหง้าใช้เป็นยาแก้ไข้ ใช้กระทุ้งพิษไข้ ถอนพิษไข้และแก้ไข้ทั้งปวง โดยใช้เหง้านำมาฝนกับน้ำหรือน้ำซาวข้าว หรือจะต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาก็ได้
6. แก้ไข้หมากไม้ ไข้กาฬ ไข้หัว ไข้สุกใส ไข้เซื่องซึม ไข้ป่าเรื้อรัง ไข้ทับระดู และไข้กลับไข้ซ้ำ (เถา)
7. ช่วยดับพิษร้อนภายในร่างกาย (เถา)
8. แก้อาการท้องผูกไม่ถ่าย ด้วยการใช้ฝนกับน้ำหรือน้ำซาวข้าว หรือนำมาต้มกับน้ำดื่ม (เถา, ราก, ใบ)
9. ใช้เป็นยาแก้พิษทั้งปวง แก้พิษเบื่อเมา พิษเบื่อเมาของเห็ด ถอนพิษยาเมา แก้เมาสุรา แก้ยาเบื่อ ยาสั่ง ถอนพิษผิดสำแดง โดยใช้เหง้านำมาฝนกับน้ำหรือน้ำซาวข้าว หรือจะต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาก็ได้ (เถา, ราก, เหง้า, ใบ)
10. ช่วยล้างสารพิษหรือสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงในร่างกาย หรือเกิดอาการแพ้ต่าง ๆ ด้วยการใช้ใบหรือเถานำมาต้มดื่มเป็นประจำหรือใช้กินแทนน้ำ ก็จะช่วยลดอาการดังกล่าวได้ (ใบ, เถา)[4]
11. ช่วยล้างสารพิษจากยาเสพติด ซึ่งหมอพื้นบ้านบางแห่งได้นำรากหรือเถามาฝนให้ผู้ป่วยที่กำลังเลิกยาเสพติดดื่ม เพื่อช่วยล้างพิษของยาเสพติดในร่างกาย (เถา, ราก)
12. ช่วยขับพิษโลหิตและน้ำเหลือง (เถา, ราก, ใบ)
13.ใช้เข้าเป็นยาบำรุงโลหิตสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรขณะอยู่ไฟ จะช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น (ลำต้น, ราก)
14. มีข้อมูลระบุว่าสมุนไพรย่านางแดงสามารถนำมาใช้เป็นยาฆ่าเชื้อราได้ (ใบย่านางแดงแคปซูล)
15. รักษาอาการกรดไหลย้อน
ย่านางแดงมีสรรพคุณเหมือนกับย่านางเขียวหรือย่านางขาวทุกประการ แต่จะมีฤทธิ์ที่แรงกว่าและดีกว่า (โดยส่วนใหญ่สมุนไพรที่มีสีเข้มกว่าจะมีสารสำคัญที่มีคุณภาพมากกว่า) โปรดอ่านสรรพคุณเพิ่มเติมที่ สรรพคุณและประโยชน์ของใบย่านาง 68 ข้อ !
ที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติม : https://medthai.com/%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87/
-------------------------------------------------------------------------------------------
มะม่วงหาว มะนาวโห่ ช่วยรักษาโรค
มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่ คือ หนามแดง เป็นผลไม้สมุนไพร ช่วยซ่อมร่างกาย สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคปอด หัวใจ มะเร็ง ถุงลมโป่งพอง เบาหวาน ไต เก๊าท์ ไทรอยด์ ช่วยขยายหลอดเลือด
ผลไม้สมุนไพร มะม่วงหาว มะนาวโห่ ช่วยรักษาโรค
เป็นผลไม้สมุนไพร ช่วยซ่อมร่างกาย รับประทานสด ๆ วันละ 5-7 ลูก สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคปอด หัวใจ มะเร็ง ถุงลมโป่งพอง เบาหวาน ไต เก๊าท์ ไทรอยด์ ช่วยขยายหลอดเลือด เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง มีหลายท่านว่ากันว่าอาการ
ป่วยโรคดังกล่าว จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และสุขภาพดีขึ้นมาก ๆ
มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่ คือ หนามแดง
ละครเรื่องนี้สร้างจากตำนานพื้นบ้านเก่าแก่ ที่ดัดแปลงมาจากเรื่อง ‘รถเสนชาดก’ ซึ่งเป็นชาดก 1 ใน 50 เรื่องของปัญญาสชาดก หรือชาดกนอกนิบาต ที่แต่งเลียนแบบอรรถกถาชาดก เพื่อสอนศาสนา และเป็นชาดกเรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีผู้นำไปเป็นต้นเค้าในการแต่งวรรณกรรมต่างๆ อีกมากมาย
เรื่องนางสิบ สอง และพระรถ-เมรี เป็นเรื่องราวของหญิงสาว 12 คนที่ถูกพ่อนำไปปล่อยในป่า เพราะคิดว่าเป็นกาลกิณีที่ทำให้ครอบครัวที่เคยเป็นเศรษฐีกลับยากจนลง นางทั้งสิบสองต้องเร่ร่อนไปจนกระทั่งไปถึงเมืองยักษ์ นางยักษ์จึงรับนางสิบสองเป็นน้อง ภายหลังนางสิบสองรู้ว่าพวกตนอยู่กับยักษ์ จึงหลบหนีไปเมืองกุตารนคร และทั้งหมดได้เป็นมเหสีของพระเจ้ารถสิทธิ์ เมื่อ นางยักษ์รู้ข่าวก็โกรธแค้นมาก จึงตามมาและทำอุบายจนได้เป็นมเหสีเอกของพระเจ้ารถสิทธิ์ จากนั้นจึงหาทางกำจัดนางสิบสอง โดยแกล้งทำเป็นป่วย ต้องควักลูกตานางสิบสองออกมาจึงจะหาย พระเจ้ารถสิทธิ์จึงควักลูกตานางทั้งสิบสอง แล้วส่งไปขังไว้ในถ้ำในขณะที่ทุกคนตั้งครรภ์แล้ว ทั้งหมดอดอยากมากจึงกินเนื้อลูกของตัวเอง ยกเว้นน้องสุดท้อง ซึ่งไม่ได้กินลูกของตน และตั้งชื่อลูกว่า “รถเสน” หรือ “พระรถ” ต่อ มาพระเจ้ารถสิทธิ์ก็รู้ว่าพระรถเป็นลูก ทำให้นางยักษ์ไม่พอใจ จึงคิดกำจัดพระรถ ด้วยการแสร้งทำเป็นป่วย ต้องกินผลไม้ในเมืองที่นางเมรีลูกสาวของตัวเองอยู่ จึงจะหาย จึงให้พระรถไปเอามา โดยฝากสารสั่งให้นางเมรีฆ่าพระรถ ว่าถึงเมืองเมื่อไรให้ฆ่าเมื่อนั้น แต่เผอิญพระรถได้ไปพบฤาษีกลางทาง ฤาษีจึงได้แปลงสารว่า ถึงเมื่อไรก็ให้แต่งงานเมื่อนั้น แล้วพระรถและนางเมรีก็ได้แต่งงานกัน
สุดท้าย นางเมรีก็ตรอมใจตาย เพราะพระรถหนีกลับเมือง ส่วนนางยักษ์ผู้เป็นแม่เลี้ยง เห็นพระรถกลับมาอย่างปลอดภัยก็แค้นจนอกแตกตาย ฝ่ายพระรถเสนได้รักษาแม่และป้าหายจากตาบอด และได้ครองเมืองต่อมา
จากข้อมูลส่วนหนึ่งระบุว่าผลไม้ดังกล่าวในเรื่องนี้ก็คือ ‘มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่’ หรือบางแห่งเรียกว่า ‘มะม่วงรู้หาว มะนาวรู้โห่’ ซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวกันคือ ‘หนามแดง’ ในปัจจุบัน (แต่บางแห่งก็บอกว่าคือ ‘มะงั่วไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่’ ซึ่งเท่ากับเป็นพืชสองชนิด และมะงั่วก็มีลักษณะคล้ายมะนาวแต่ลูกใหญ่กว่า)
ขณะที่ “หนามแดง” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Carissa carandas Linn. อยู่ในวงศ์ Apocynaceae มีชื่อเรียกอื่นๆ
เช่น มะนาวไม่รู้โห่ (ภาคกลาง), มะนาวโห่ (ภาคใต้), หนามขี้แฮด (เชียงใหม่), หนามแดง (กรุงเทพฯ) เป็นต้น
เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูงราว 2-5 เมตร ตามลำต้นและกิ่งก้านมียางสีขาว และมีหนามแหลมยาว ใบเป็นใบเดี่ยว รูปไข่กลับ เรียงตรงข้าม ขอบใบเรียบ ผิวใบมัน เนื้อใบ เรียบ ดอกเล็กสีขาวออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง โคนดอกมีสีชมพูหรือแดงอ่อน และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกตลอดปี ส่วนผลเป็นผลเดี่ยวออกรวมกันเป็นช่อ ผลอ่อนจะมีสีชมพูอ่อนๆ และค่อยๆ เข้มขึ้นเป็นสีแดง กระทั่งสุกจึงกลายเป็นสีดำ
สรรพคุณทางยาสมุนไพรของหนามแดงมีไม่น้อย อาทิเช่น ราก ใช้บำรุงธาตุ ขับพยาธิ รักษาบาดแผล และแก้คัน, ใบ ใช้แก้ท้องร่วง เจ็บคอ แก้ปวดหู, ผลมีรสเปรี้ยว คล้ายมะนาว ใช้แก้ไอ แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ และช่วยขับเสมหะ
สมุนไพร มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่
ต้น........
‘มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่’ หรือบางแห่งเรียกว่า ‘มะม่วงรู้หาว
มะนาวรู้โห่’ ซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวกันคือ ‘หนามแดง’ ในปัจจุบัน
(แต่บางแห่งก็บอกว่าคือ ‘มะงั่วไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่’
ซึ่งเท่ากับเป็นพืชสองชนิด
และมะงั่วก็มีลักษณะคล้ายมะนาวแต่ลูกใหญ่กว่า เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูงราว
2-5 เมตร ตามลำต้นและกิ่งก้านมียางสีขาว และมีหนามแหลมยาว ใบเป็นใบเดี่ยว
รูปไข่กลับ เรียงตรงข้าม ขอบใบเรียบ ผิวใบมัน เนื้อใบ เรียบ
ดอกเล็กสีขาวออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง โคนดอกมีสีชมพูหรือแดงอ่อน
และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกตลอดปี ส่วนผลเป็นผลเดี่ยวออกรวมกันเป็นช่อ
ผลอ่อนจะมีสีชมพูอ่อนๆ และค่อยๆ เข้มขึ้นเป็นสีแดง
กระทั่งสุกจึงกลายเป็นสีดำ parrot.
สรรพคุณทางยาสมุนไพรของหนามแดง
มีไม่น้อย อาทิเช่น ราก ใช้บำรุงธาตุ ขับพยาธิ รักษาบาดแผล และแก้คัน, ใบ
ใช้แก้ท้องร่วง เจ็บคอ แก้ปวดหู, ผลมีรสเปรี้ยว คล้ายมะนาว ใช้แก้ไอ
แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ และช่วยขับเสมหะ
ที่มา : http://www.sahavicha.com/?name=blog&file=readblog&id=1835 ----------------------------------------------------------------------------------------------------
10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต
ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่
10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล
การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่
ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล
ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี
ทั้ง นี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี.
ที่มา : http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_02642.php
------------------------------------------------------------------------------------
มะระขี้นก กินแล้วตาหวาน...ไขมัน...น้ำตาลลด แต่ต้องระวัง
เมื่อ เอ่ยถึงมะระขี้นก...มโนภาพของมันคือความขม มะระขี้นก เป็นผักที่คนไทยรู้จักดีมาช้านาน เป็นไม้เลื้อยมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า bitter ground ชื่อมันฟ้องว่านี่คือสุดยอดแห่งความขม ซึ่งคนรุ่นใหม่ออกจะรู้สึกรังเกียจในความขมของมัน แต่กับคนโบราณมะระขี้นกเป็นของโปรด จิ้มน้ำพริกกะปิ หรือน้ำพริกอะไรดูเอร็ดอร่อยทุกคำ จนบางทีเหมือนเสแสร้งแกล้งทำว่าอร่อย เพราะกินไปก็ชื่นชมความขมของมันไป เหมือนกำลังกินขนมหวาน
ความขมของมะระขี้นกเกิดจากสารอัลคาลอยด์โมโมดิซีน (momodicine) ซึ่ง อัลคาลอยด์ตัวนี้จะเจือจางลงเมื่อนำมะระขี้นกไปผ่านความร้อน เช่น ต้มในน้ำเดือด ซึ่งจะทำให้ความขมลดลง ทำให้รับประทานง่ายขึ้น แต่ข้อเสียคือ เมื่อสารโมโมดิซีนเจือจางคุณค่าทางโภชนาการจะลดลงด้วย ความขมของมะระขี้นกช่วยให้กระเพาะเจริญอาหาร ท้องไส้ก็ระบายได้ดี
นอกจากนี้ความขมยังเป็นตัว ช่วยถุงน้ำดี ป้องกันถุงน้ำดีพิการ และช่วยได้อีกหลายโรค
ผู้ป่วยไม่น้อยมาพบหมอใบไม้ เมื่อวินิจฉัยอาการแล้วรู้ว่าขาดของขม คือเป็นคนไม่ชอบของขม ปฏิเสธของขมโดยเฉพาะมะระขี้นก ทั้งชีวิตไม่ยอมกินเลย มนุษย์เราเมื่อไม่กินอาหารบางอย่างนั่นหมายถึงจะไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนั้นๆ เช่น ใครไม่รับประทานผัก ร่างกายย่อมขาดวิตามินและเกลือแร่ โดยเฉพาะวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินพื้นฐานที่ร่างกายต้องการมาก
มะระขี้นกมีถิ่นกำเนิดในซีกโลกตะวันออก กลุ่มประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร ไปจนถึงตอนบนที่อบอุ่น ดังนั้นจึงสามารถพบเห็นอาหารหลายอย่างของชนชาติเหล่านี้นิยมใช้มะระขี้นก เป็นส่วนประกอบของอาหารหลายหลาก โดยใช้ทั้งต้น ผล ใบ
คนอินเดียก็ชอบแกงใส่มะระขี้นก เป็นแกงใส่เครื่องเทศกลิ่นแรงๆ ที่คนไทยไม่ชอบนี่แหละ หน้าตามันจะเหนียวข้นคล้ายพะแนง ไม่มีกะทิ คนอินเดียกินกะทิไม่เป็น แกงของอินเดียใช้นมเปรี้ยวเพื่อให้ได้ไขมัน
คนอินเดียกินเครื่องเทศไม่ต่างจากไทย เท่ากับว่าคนอินเดียกินยาจากธรรมชาติในชีวิตประจำวัน คนอินเดียจึงเป็นพวกหัวแข็ง ไม่ค่อยเป็นหวัดกัน ตากแดดตากฝนสามารถทนทานได้ดี
สำหรับ คนไทย มะระขี้นกถือเป็นอาหารในบ้านที่คนส่วนใหญ่ยังนิยมรับประทาน อาจมีบ้างที่เด็กรุ่นใหม่รู้สึกรังเกียจความขมของมัน จึงอยากบอกว่า...อย่ารังเกียจความขมของมะระขี้นก เพราะความขมของมะระขี้นกนี้ คือตัวยาสำคัญที่ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้ทันที
มะระขี้นกมีเบต้าแคโรทีน... เบต้าแคโรทีนทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ขณะเดียวกันเบต้าแคโรทีนส่วนหนึ่งมันสามารถเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ
วิตามิน เอมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทตา ภาษาแพทย์แผนไทยบอกว่ากินแล้วช่วยบำรุงสายตา แก้ตาฟาง ช่วยถนอมสายตา ไม่ต้องไปซื้อแว่นราคาแพงที่อวดอ้างว่าตัดแสงอะไรให้เปลืองสตางค์
แต่ การที่จะให้วิตามินเอออกฤทธิ์ ต้องนำมะระขี้นกไปต้มให้สุก แล้วราดด้วยหัวกะทิ เหตุผลคือ...วิตามินเอมันละลายในไขมัน ไม่ละลายในน้ำ หัวกะทิมีไขมันมาก ทั้งยังเป็นไขมันชนิดดี วิตามินเอจึงออกฤทธิ์ ช่วยระบบประสาทตา หรือระบบการมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน ยิ่งต้องระวังปัญหาด้านการมอง นอกจากต้องระวังปัญหาของระดับน้ำตาลในกระแสเลือดแล้ว...ซึ่งการรับประทาน มะระขี้นกเป็นประจำ จะมีผลต่อร่างกายสองเด้งสองทาง
ด้านหนึ่งอย่างที่บอก เปิบมะระขี้นกแล้วช่วยเรื่องสายตา ช่วยดวงตาให้สดใส...อีกด้าน...มะระขี้นกช่วยลดไขมัน ลดน้ำตาลในกระแสเลือด
การ รับประทานมะระขี้นกหน้าตาขี้เหร่เป็นประจำ จะมีผลต่อระบบการย่อยไขมันในร่างกายเป็นลำดับแรกก่อน อวัยวะส่วนไหนต้องทำหน้าที่ย่อยไขมัน อวัยวะส่วนนั้นย่อมได้อานิสงส์ คือหมายถึงมีตัวช่วย เปรียบเสมือนได้สารตั้งต้นในการทำงาน เมื่อไขมันถูกย่อยได้ดีขึ้น โดยเหตุผลแน่นอนว่าปัญหาของน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดถูกควบคุมโดยปริยาย
แต่การรับประทานมะระขี้นก เช่น ต้มจิ้มน้ำพริกร่วมกับผักอื่น หรือใครใจกล้ากินดิบกันเลย ยังไม่ได้ผลกับการรักษาระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเต็มร้อย...หากต้องการผลที่ รวดเร็วให้ชะงัดอยู่หมัด ต้องนำผลสดของมะระขี้นกไปคั้นน้ำแล้วนำมาดื่ม
กรรมวิธี สะดวกสามารถนำไปปั่น ถ้าให้ดีควรตำให้ละเอียดแล้วคั้นน้ำ การนำมะระขี้นกมาคั้นน้ำดื่ม ร่างกายจะได้รับเบต้าแคโรทีน เพราะผู้ป่วยเบาหวานหรือมีไขมันส่วนเกินย่อมมีอนุมูลอิสระ ซึ่งเรามักเข้าใจว่าเรื่องของอนุมูลอิสระเป็นจำเพาะในกรณีผู้ป่วยมะเร็งเท่า นั้น แท้จริงแล้วอนุมูลอิสระเกิดขึ้นทุกวันแต่ร่างกายมีระบบกำจัดมันทิ้ง และใครที่เป็นผู้ป่วยมีโรคประจำตัวย่อมมีอนุมูลอิสระสูงกว่าคนทั่วไป เพราะผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่ำ
อีก ทั้งน้ำมะระขี้นกดูด ซึมได้ดี ไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย มันสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าถึงระบบเซลล์ในส่วนอวัยวะที่ร่างกายต้อง การได้อย่างรวดเร็ว กระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดการสูญเสียธาตุอาหารน้อย ธาตุอาหารก็คือยาที่ร่างกายส่วนที่ได้รับการบาดเจ็บหรืออักเสบต้องการใช้
มะระขี้นกจึงเป็นสุดยอดสมุนไพรไทย หรืออีกนัยคือ สุดยอดอาหารที่มีฤทธิ์เป็นยา ซึ่งซีกโลกตะวันตกไม่มี แพทย์เข้าใจวิธีบำบัดแนวทางนี้ หรือแม้แต่คนไทยเองก็ยังพลอยหลงทางตามฝรั่งไปด้วย และแพทย์แผนปัจจุบันของไทยเราก็ยังเชื่อยาฝรั่ง...ทั้งที่ในโลกนี้ไม่มียา จากสารเคมีใด สามารถรักษาโรคไขมันและน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดได้
ผม เขียนเรื่องนี้บ่อยเพื่อย้ำเตือนให้ผู้ป่วยเห็นถึงพิษภัยของยา ที่รักษาโรคไม่หายมันแค่ประคองลมหายใจเท่านั้น สุดท้ายผู้ป่วยโรคเรื้อรังต้องโดนล้างไต ในกรณีของไขมันและน้ำตาลส่วนเกิน หากผู้ป่วยต้องการควบคุม สู้หันมาใช้วิธีทางธรรมชาติดีกว่า ซึ่งมีหลากหลายหนทางให้เลือก เพียงแต่ต้องมีความรู้มีความเข้าใจ เพราะการใช้วิธีทางธรรมชาติบำบัดแทนการใช้ยาก็ต้องระมัดระวังเช่นกัน
วันนี้ เรายังขาดความเข้าใจด้านนี้อยู่ การสู้โรคจึงยังไม่ได้ผลกับผู้ป่วยหลายๆ ราย...กรณีการใช้มะระขี้นกก็เช่นเดียวกัน ผู้ป่วยต้องระวังส่วนที่เป็นอันตรายเช่นเดียวกับการใช้ยาทางสารเคมี
การ ใช้สมุนไพรนั้นมักไม่มีมาตรฐานแน่นอน ปริมาณที่ใช้มักบอกว่าให้กะพอประมาณ หรือหนึ่งหยิบมือ แพทย์แผนปัจจุบันเขาจึงรับไม่ได้กับวิธีการนี้ ซึ่งหมอใบไม้เห็นด้วยกับอะไรที่ไม่ได้มาตรฐาน หากสิ่งนั้นมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง...กรณีมะระขี้นกเช่นกัน ผู้ป่วยต้องใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ควรกินทุกวันอย่างต่อเนื่อง เมื่อตรวจพบว่าระดับไขมันและน้ำตาลลดแล้วควรหยุดบ้าง เพื่อให้สารอัลคาลอยด์ที่ตกค้างโดนกำจัดทิ้ง
คน ไทยชอบทำอะไรเกินเลยเสมอ...กรณีการดื่มน้ำมะระขี้นกอย่าใส่มะระขี้ นกจน ขม เพราะสารอัลคาลอยด์ที่มีในความขมจะทำให้ตับต้องทำงานหนัก หากมันสู้ไม่ไหวอาจเกิดโศกนาฏกรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีโอกาสเสียชีวิตได้ อย่ามองว่ามะระขี้นกเป็นอาหารแล้วไม่มีความเสี่ยง ยิ่งกับสุภาพสตรียิ่งมีความเสี่ยงสูง อาจมีอาการตกเลือดหรือแท้งได้ในกรณีกำลังตั้งครรภ์แล้วกินมะระขี้นกมากเกิน ขนาด หรือกินมะระขี้นกที่เริ่มสุก
ข้อ ควรรู้...ผู้ป่วยหลายรายรับประทานหรือดื่มน้ำมะระขี้นกแต่ไม่ได้ผล โบราณบอกว่าธาตุมันไม่รับ ก็ต้องเปลี่ยนวิธีอื่น ลองไปจนรู้ว่าอะไรที่ใช้ได้
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/varticle/43122
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
10 เทคนิคหยุดสะอึก
1.กระตุ้นผิวด้านหลัง ของลำคอ แถวๆ บริเวณที่เปิดปิดหลอดลม โดยการดึงลิ้นแรงๆ
2.ใช้ด้าม ช้อนเขี่ยที่ปิดเปิดหลอดลม
3.กลั้วน้ำในลำคอ
4.จิบน้ำเย็นจัด
5. กลืนน้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ต้องใช้น้ำ หรือ กลืนก้อนข้าว ก้อนขนมปัง ก้อนน้ำแข็งเล็กๆ
6.ดื่มน้ำจากขอบแก้วที่อยู่ด้านนอกหรือ ด้านไกลจากริมฝีปาก
7.จิบน้ำส้มสายชูที่เปรี้ยวจัด หรือดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
8.การฝังเข็ม
9. การสวดมนต์ทำสมาธิ
10. กลั้นหายใจเอาไว้โดยการนับ 1 – 10 แล้วหายใจออก จากนั้นดื่มน้ำตามทันที
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/32441.html
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
-->
ปรับ ชีวิตเพื่อขออยู่เฝ้าคนที่เรารัก
ตอนไตเสื่อม แต่มีภาระ ยังตายไม่ได้
อย่าเข้าใจว่า ขอบตาดำ เกิดจากนอนน้อย นอนดึก เท่านั้น ร่างกายจะมีสัญญาณบอกความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นเสมอ แต่เราไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่า ร่างกายต้องการบอกอะไร คนที่ขอบตาดำ พึงระวังไว้ครับ ว่าร่างกายกำลังเตือนว่า ไตกำลังจะเสื่อม !
ไม่ว่าอายุแค่ไหน หนุ่มสาว หรือ แก่ชรา ล้วนมีสิทธิไตเสื่อมด้วยกันทั้งนั้น ผมพูดถึงไตเสื่อมนะครับ ไม่ใช่โรคไต ไตทำหน้าที่กรองของเสียในร่างกาย ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆ อย่างของไต จึงสรุปสั้นๆว่า ไตเปรียบเหมือน GM หรือ ผจก.ของร่างกาย
คนยุคปัจจุบัน ทำร้ายไตตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่ากินอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป ( เค็ม-มัน- เผ็ดมาก ฟาสฟู้ด-อาหารสำเร็จรูป – แช่แข็ง-อาหารอุตสาหกรรม ฯลฯ ) ร่างกายเสียสมดุล อีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้อง นอนน้อยเกิน นอนมากเกิน นอนไม่เป็นเวลา ไม่ออกกำลังกาย ( รวมถึงออกกำลังไม่เหมาะกับสภาพร่างกายตัวเอง) เครียดมาก กดดันมาก รีบเร่งมาก ฯลฯ
คนยุคปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะไตเสื่อมมากขึ้น และให้สังเกตร่างกายตัวเองดังต่อไปนี้
1. อ่อนเพลียบ่อย ขาดความกระตือรือร้น
2. นอนไม่ ค่อยหลับ หรือ หลับไม่สนิท
3. ปัสสาวะบ่อย หรือ กะปริดกะปรอย
4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม ขี้วิตกกังวล
7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8. ขอบตาดำ คล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย
2. นอนไม่ ค่อยหลับ หรือ หลับไม่สนิท
3. ปัสสาวะบ่อย หรือ กะปริดกะปรอย
4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม ขี้วิตกกังวล
7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8. ขอบตาดำ คล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย
จริงๆมีเยอะกว่านี้ เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการแบบนี้ทั้งหมด แต่โดยรวมแล้วมีปรากฎให้เห็นกับตัวเอง
อะไรบ้างที่ทำให้ไตเรา เสื่อม
1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล : น้อยไม่พอ ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ
2. เ พศสัมพันธ์ : มีเพศสัมพันธ์มากเกินควร แ ละหลั่งอสุจิมากเกินควร ทำให้ร่างกายเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ และไตจะอ่อนแอลง
3. การทานยา รักษาโรคนานๆ หรือปริมาณที่มาก : ทั้งยาแก้ปวด ยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหายแต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่
ยังมีอีกเยอะครับ แต่แค่นี้คงครอบคลุมแล้วลองดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีอาการตามที่ว่าหรือไม่
2. เ พศสัมพันธ์ : มีเพศสัมพันธ์มากเกินควร แ ละหลั่งอสุจิมากเกินควร ทำให้ร่างกายเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ และไตจะอ่อนแอลง
3. การทานยา รักษาโรคนานๆ หรือปริมาณที่มาก : ทั้งยาแก้ปวด ยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหายแต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่
ยังมีอีกเยอะครับ แต่แค่นี้คงครอบคลุมแล้วลองดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีอาการตามที่ว่าหรือไม่
การแก้ไข
ง่ายสุด คือ ปรับพฤติกรรมตัวเอง ทั้ง การนอน การกิน การอยู่ หนึ่งวันมี 24 ชม. ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยว พักผ่อน ดูทีวี สันทนาการ ออกกำลังกาย) นอน 8 ชั่วโมง
หมอจะกำไรมากขึ้นจากการรักษาคนป่วย แต่คนป่วยจะไตพังกันมากขึ้น จากการกินยา แล้ววนมาให้หมอรักษาไตอีก
ดังนั้น ต้องตัดสินใจเองว่าจะบริหารจัดการชีวิตตนเองอย่างไร ที่ไม่เสียงาน ไม่เสียสุขภาพ
นอกจากนี้ ผมมีข้อแนะนำ ดังนี้ครับ
1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดี แต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุล
จึงไม่แนะนำให้เล่นต่อ เพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้น อยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ชำนาญ ซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ ( ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับ จะเสียมากกว่าได้ )
การฝึกโยคะ ไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายในร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ แต่ต้องฝึกอย่างมีวินัย และมีสมาธิ นอกจากนี้ หากมีฝึก ชี่กง ควบคู่ไปด้วย จะเห็นผลดี และเร็วขึ้น หากรู้สึกว่า ยากหรือห่างตัวเกินไป ก็ให้เลือกการว่ายน้ำ โดยว่ายอย่างเบาๆ แต่ต่อเนื่อง ในเวลาที่พอสมควร ( เหนื่อยให้หยุดพัก ห้ามฝืนต่อ ) คุณไม่ได้ไปแข่งกับใคร คุณกำลังบำบัดตัวเอง
2. ปรับอาหาร : งดเนื้อสัตว์ย่อยยาก วัว หมู ไก่ เป็ด ของเผ็ด ของเย็น (ไอสครีม น้ำแข็ง ) ของมัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสด ที่ปรุงน้อย (เช่นสลัด)มากขึ้น ทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพด ข้าวกล้อง ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ห้ามดื่มน้ำเย็น) และงดเครื่องดื่มของมึนเมา น้ำอัดลม นม น้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง)
3. อยู่ห้อง แอร์ให้น้อยลง อยู่หน้าจอคอม จอโทรทัศน์ให้น้อยลง หาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น (เดินเท้าเปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก)
จึงไม่แนะนำให้เล่นต่อ เพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้น อยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ชำนาญ ซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ ( ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับ จะเสียมากกว่าได้ )
การฝึกโยคะ ไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายในร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ แต่ต้องฝึกอย่างมีวินัย และมีสมาธิ นอกจากนี้ หากมีฝึก ชี่กง ควบคู่ไปด้วย จะเห็นผลดี และเร็วขึ้น หากรู้สึกว่า ยากหรือห่างตัวเกินไป ก็ให้เลือกการว่ายน้ำ โดยว่ายอย่างเบาๆ แต่ต่อเนื่อง ในเวลาที่พอสมควร ( เหนื่อยให้หยุดพัก ห้ามฝืนต่อ ) คุณไม่ได้ไปแข่งกับใคร คุณกำลังบำบัดตัวเอง
2. ปรับอาหาร : งดเนื้อสัตว์ย่อยยาก วัว หมู ไก่ เป็ด ของเผ็ด ของเย็น (ไอสครีม น้ำแข็ง ) ของมัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสด ที่ปรุงน้อย (เช่นสลัด)มากขึ้น ทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพด ข้าวกล้อง ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ห้ามดื่มน้ำเย็น) และงดเครื่องดื่มของมึนเมา น้ำอัดลม นม น้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง)
3. อยู่ห้อง แอร์ให้น้อยลง อยู่หน้าจอคอม จอโทรทัศน์ให้น้อยลง หาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น (เดินเท้าเปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก)
จะเห็นว่าที่แนะนำไป ดูเบสิคมากเลยใช่มั้ยครับ แต่ทำยากมากเลย นี่ล่ะครับ ผมถึงบอกว่าคนในยุคนี้ป่วยกันมากขึ้น เพราะมีพฤติกรรมทำลายวงจรธรรมชาติของตัวเอง
อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าพฤติกรรม หรือความรู้สึก ล้วนสัมพันธ์กับไต
ไตเหมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของ มนุษย์ เป็นผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาล แต่ก็เปราะบางยิ่งนัก และง่ายต่อการแตกร้าว วิธีการดูแลรักษาไม่ยากสำหรับคนในยุคก่อน แต่ยากยิ่งสำหรับคนยุคนี้ นั่นคือ "คล้อยตามธรรมชาติ" คนสมัยก่อน ตื่นเช้า นอนแต่หัวค่ำ ทานอาหารสดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ ในขณะที่คนยุคนี้ นอนดึกเป็นกิจวัตร ( ทำงาน , ดูบอล , ดูโทรทัศน์ , เที่ยว กลางคืน) ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลม พึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินความจำเป็น ฯลฯ
ไตเหมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของ มนุษย์ เป็นผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาล แต่ก็เปราะบางยิ่งนัก และง่ายต่อการแตกร้าว วิธีการดูแลรักษาไม่ยากสำหรับคนในยุคก่อน แต่ยากยิ่งสำหรับคนยุคนี้ นั่นคือ "คล้อยตามธรรมชาติ" คนสมัยก่อน ตื่นเช้า นอนแต่หัวค่ำ ทานอาหารสดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ ในขณะที่คนยุคนี้ นอนดึกเป็นกิจวัตร ( ทำงาน , ดูบอล , ดูโทรทัศน์ , เที่ยว กลางคืน) ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลม พึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินความจำเป็น ฯลฯ
อาการไตเสื่อมจะเกิดใน 2 ลักษณะ แยกเป็น ไตหยิน กับ ไตหยาง
อาการไตหยาง หรือ ไตหดตัวแน่น
- นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ
- นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย
- อสุจิเคลื่อนตอนนอน
- เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ
- นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย
- อสุจิเคลื่อนตอนนอน
- เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ
โดยมีสาเหตุมาจาก
1. กินรสเค็มจัด หรือ เนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือ พวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อยๆ
2. การทำงาน หรือ การใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ
3. การนั่งทำงานหรือ นั่งรถนาน
2. การทำงาน หรือ การใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ
3. การนั่งทำงานหรือ นั่งรถนาน
ส่วนอีกลักษณะคือ ไตหยิน หรือ ไตคลาย
- เฉื่อยชา เกียจคร้าน
- ความต้องการทางเพศต่ำลง
- ปวดเมื่อ หลัง เอว
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางคืน
- นอนตื่น สาย ไม่อยากตื่น
- อารมณ์อ่อนไหวง่าย
- ขี้หูมาก
- เหงื่อออก เยอะผิดปกติ
- ความต้องการทางเพศต่ำลง
- ปวดเมื่อ หลัง เอว
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางคืน
- นอนตื่น สาย ไม่อยากตื่น
- อารมณ์อ่อนไหวง่าย
- ขี้หูมาก
- เหงื่อออก เยอะผิดปกติ
ตามปกติแล้ว กลางคืน ไต ซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำ หรือ "หยิน" จะทำงานมากกว่ากลางวัน ( สังเกตว่าตื่นเช้าเราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับ แรก)
ดังนั้น เมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย "หยิน" ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิด เช่น ขี้เกียจ อยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียว ขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น)
การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่ม ปัจจัยหยินได้แก่
- การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัย รวมทั้ง น้ำแข็ง ไอสกรีม หวานเย็น และอาหารลักษณะนี้
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
- การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
- การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
- การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
- การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น
คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวัน ควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้าง หรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต ( ควรเป็น ผ้าธรรมชาติ เช่น คอตตอน ) และ หาโอกาสออกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง สำหรับคนนอนห้องแอร์ ควรสวมเสื้อผ้า ห่มผ้าให้อบอุ่น
- การนั่งรถ นานๆ โดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น
- นอนไม่ เป็นเวลา ทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อย หรือ นอนผิดเวลา
- นอนไม่ เป็นเวลา ทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อย หรือ นอนผิดเวลา
สำหรับคนที่นอน และ ทำงานผิดเวลา
ตามหลักวงจรธรรมชาตินั้น กลางวัน คือ เวลาสำหรับ ทำงาน เรียนหนังสือ
กลางคืน คือ สำหรับพักผ่อน นอนหลับ ( หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง)
การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้น จะส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย และจิตใจ อย่างแน่นอน
แม้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่ นั่นเพราะ ตัวคุณมี " ทุน" ที่ยังค้ำยันอยู่ แต่ ทุนจะหมด เพราะการใช้ชีวิตที่ผิดสะสม
กลางคืน คือ สำหรับพักผ่อน นอนหลับ ( หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง)
การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้น จะส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย และจิตใจ อย่างแน่นอน
แม้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่ นั่นเพราะ ตัวคุณมี " ทุน" ที่ยังค้ำยันอยู่ แต่ ทุนจะหมด เพราะการใช้ชีวิตที่ผิดสะสม
อาหารที่ควรเลือกรับ ประทานเป็นหลัก ได้แก่
1. ข้าวกล้อง
2. สาหร่ายทะเล
3. ถั่วแดง ผักสด ผลไม้ไม่หวานและ น้ำน้อย
4. เต้าเจี้ยว
2. สาหร่ายทะเล
3. ถั่วแดง ผักสด ผลไม้ไม่หวานและ น้ำน้อย
4. เต้าเจี้ยว
หลีกเลี่ยง การใช้ชีวิต ดังนี้
1. การใส่รองเท้าส้นสูง
2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็ง หรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ (เก้าอี้ หรือ เตียง ดีไซน์เก๋ๆ ที่นิยมกันในหมู่คนรุ่นใหม่) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็ง ไม่นุ่ม กำลังดี อย่างที่นอนใยมะพร้าว
2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็ง หรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ (เก้าอี้ หรือ เตียง ดีไซน์เก๋ๆ ที่นิยมกันในหมู่คนรุ่นใหม่) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็ง ไม่นุ่ม กำลังดี อย่างที่นอนใยมะพร้าว
การใช้ชีวิตที่ควรปรับ เพิ่ม
1. พยายาม อย่านั่งหลังงอ
2. อย่านั่งนานๆ หรือ อย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ นึกขึ้นได้ให้ขยับตัว เคลื่อนไหว เปลี่ยนอิริยาบถ
2. อย่านั่งนานๆ หรือ อย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ นึกขึ้นได้ให้ขยับตัว เคลื่อนไหว เปลี่ยนอิริยาบถ
ขออนุญาตเจ้าของบทความ (ไม่รู้ว่าต้นตอมาจากไหน เพราะผู้เขียนนำมาจาก Forward mail ) ในการนำมาเผยแพร่ เพื่อเป็นสาธารณกุศล